4

ภญ.ประภัสสร ประดากรณ์


ท้องผูกเป็นภาวะที่ถ่ายอุจจาระลำบาก มักต้องออกแรงเบ่งเพื่อขับอุจจาระ อุจจาระเป็นก้อนแข็ง รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุดมีบางสิ่งอุดที่ทวารหนัก และการถ่ายอุจจาระได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยามักเกิดขึ้นน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ท้องผูกพบได้ทุกเพศและทุกวัย พบมากในผู้สูงอายุ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ท้องผูกหากแบ่งตามระยะเวลาที่มีอาการอาจแบ่งเป็นท้องผูกเฉียบพลันซึ่งมีอาการน้อยกว่า 3 เดือน และท้องผูกเรื้อรังซึ่งมีอาการนานกว่า 3 เดือน


สาเหตุที่ทำให้เกิดท้องผูก 

ท้องผูกเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของลำไส้ผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นที่ลำไส้เอง เช่น การบีบตัวน้อยทำให้ขับไล่กากอาหารได้ลดลง โรคหรือความผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นที่อื่นไม่ใช่ที่ลำไส้ เช่น โรคหรือความผิดปกติทางเมแทบอลิซึม โรคทางระบบประสาท การได้รับยาบางชนิด รวมทั้งพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น การบริโภคอาหารประเภทแป้งหรือเนื้อสัตว์โดยไม่บริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์หรือใยอาหาร, การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย มักชอบนั่งหรือนอน และไม่ออกกำลังกาย, การมีความเครียดและวิตกกังวล หรืออาจมีสาเหตุอื่น ๆ รวมถึงท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ


การรักษาท้องผูก แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

1.การรักษาโดยไม่ใช้ยา

การดื่มน้ำให้มากเพียงพอ โดยเฉพาะผู้ที่ขาดน้ำควรดื่มให้ได้วันละ 1.5-2 ลิตรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือใยอาหารปริมาณมาก ,การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายทุกส่วนรวมถึงทางเดินอาหารมีการเคลื่อนไหวมากขึ้น และควรฝึกการถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาจนติดเป็นนิสัย อย่าใช้เวลานั่งถ่ายอุจจาระเกิน 5-10 นาที หลีกเลี่ยงการออกแรงเบ่งอุจจาระ รวมทั้งการทำจิตใจให้สบาย ลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งส่งผลให้ทางเดินอาหารทำงานได้ดีตามปกติ

2.การรักษาโดยใช้ยา ยาระบายที่รู้จักและใช้กันมานานแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามการออกฤทธิ์ได้ดังนี้


2.1. ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (bulk-forming laxatives) หรือยาประเภทไฟเบอร์หรือคาร์โบไฮเดรตโพลีเมอร์ชนิดย่อยยากจึงไม่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหาร มีทั้งไฟเบอร์ชนิดไม่ละลาย (insoluble fiber) ตัวอย่างเช่น รำข้าวสาลี (wheat bran) และชนิดที่ละลายได้ (soluble fiber) ตัวอย่างเช่น ไฟเบอร์จากเมล็ดเทียนเกล็ดหอย (psyllium husk), เมทิลเซลลูโลส (methylcellulose) ซึ่งไฟเบอร์จากรำข้าวสาลีและเมล็ดเทียนเกล็ดหอยเป็นไฟเบอร์ธรรมชาติ ส่วนเมทิลเซลลูโลสเป็นไฟเบอร์กึ่งสังเคราะห์ ยาระบายเหล่านี้ออกฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระโดยดูดน้ำไว้ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่ขยาย ส่งผลกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวและเกิดการขับถ่าย ปล่อยให้ยาพองตัวในน้ำให้เต็มที่ก่อน และต้องดื่มน้ำตามให้เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ยาอุดตันทางเดินอาหาร ยากลุ่มนี้ใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะเห็นผลในการช่วยขับถ่าย


2.2. ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (osmotic laxatives) เช่น แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์หรือยาระบายแมกนีเซีย (magnesium hydroxide หรือ milk of magnesia) , พวกแมโครกอล (macrogols เป็นโพลีเมอร์ของเอทิลีนไกลคอล) หรือโพลีเอทิลีนไกลคอลซึ่งเรียกโดยย่อว่าพีอีจี (polyethylene glycol หรือ PEG), แล็กทูโลส (lactulose) ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ดึงน้ำไว้ในช่องลำไส้ใหญ่โดยวิธีออสโมซิส (osmosis) ช่วยให้อุจจาระนุ่มและผ่านสำไส้ใหญ่ได้ดีขึ้น  ยาในกลุ่มนี้ใช้เวลาแตกต่างกันกว่าจะเริ่มเห็นผลในการช่วยขับถ่าย ซึ่งพีอีจีใช้เวลา 2-4 วันหลังรับประทานยา แล็กทูโลสใช้เวลา 1-2 วัน ส่วนแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ใช้เวลา 0.5-6 ชั่วโมง


2.3. ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (stimulant laxatives) ตัวอย่างเช่น บิซาโคดิล (bisacodyl), ยามะขามแขก (senna) ซึ่งตัวยาสำคัญในยามะขามแขกคือ เซนโนไซด์ (sennosides) ยาระบายในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพิ่มการหลั่งของเหลวสู่ภายในลำไส้ ลดการดูดซึมน้ำที่ลำไส้ใหญ่ และเร่งการบีบไล่กากอาหาร ยามะขามแขกมีข้อมูลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยตลอดจนมีการใช้มากกว่าบิซาโคดิล ยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์แรงและออกฤทธิ์ได้เร็ว ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นเวลานานเนื่องจากเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและการเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้การใช้เป็นเวลานานอาจรบกวนระบบประสาทในทางเดินอาหาร (enteric nervous system) ยาในกลุ่มนี้เริ่มเห็นผลในการช่วยขับถ่ายภายใน 6-12 ชั่วโมงหลังรับประทานยา หากเป็นบิซาโคดิลชนิดให้ทางทวารหนักเห็นผลในการช่วยขับถ่ายภายใน 10-45 นาที


2.4. ยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (stool softeners) ตัวอย่างเช่น ด็อกคิวเสต (docusate sodium และ docusate calcium) ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ดึงน้ำเข้ามาในก้อนอุจจาระโดยลดแรงตึงผิวอุจจาระ (detergent-like action) ทำให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่าย มีประสิทธิภาพในกรณีที่อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ข้อมูลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาในระยะยาวมีน้อย ยาให้ผลช่วยขับถ่ายภายใน 1-2 วันหลังรับประทาน หากเป็นชนิดที่ให้ทางทวารหนักยาให้ผลช่วยขับถ่ายภายใน 15 นาที


ผลไม่พึงประสงค์ของยาระบาย ยาระบายทุกชนิด หากใช้เป็นเวลานานมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและการเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย โดยเฉพาะยาที่มีฤทธิ์แรง และอาจทำให้ปวดท้อง ท้องอืด อิ่มเกิน อึดอัดในท้อง และมีแก๊สในลำไส้ได้


การเลือกใช้ยาระบาย ยาระบายนำมาใช้ต่อเมื่อการรักษาเบื้องต้นโดยไม่ใช้ยาด้วยการปรับพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายแล้วไม่ได้ผล ยาระบายแต่ละกลุ่มมีความเหมาะสมต่างกัน โดยทั่วไปยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (ไฟเบอร์)มักเลือกใช้เป็นอันดับแรกในผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ยาระบาย โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้เป็นเวลานานได้ หากใช้ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระแล้วไม่ได้ผล สามารถเปลี่ยนไปใช้ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ ซึ่งอาจเป็นพีอีจีหรือแล็กทูโลส หากยังคงมีอาการท้องผูกเรื้อรังหลังจากใช้ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ไปนานไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์ สามารถเปลี่ยนไปใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ซึ่งอาจเป็นบิซาโคดิลหรือยามะขามแขก (ยามะขามแขกมีข้อมูลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยตลอดจนมีการใช้มากกว่าบิซาโคดิล) ส่วนยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (เช่น ด็อกคิวเสต) มีข้อมูลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่มากนัก


ควรใช้ยาระบายนานเท่าใด? ยาระบายควรใช้เป็นครั้งคราว หยุดใช้เมื่ออาการท้องผูกทุเลาลง ในระยะยาวควรรักษาอาการท้องผูกโดยไม่ใช้ยาด้วยการปรับพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เนื่องจากยาแต่ละชนิดล้วนมีผลไม่พึงประสงค์ การใช้เป็นเวลานานทำให้เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและการเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย ลำไส้เกิดความเคยชิน และยาบางชนิดอาจรบกวนระบบประสาทในทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยานานหรือใช้ยะระบายไปแล้วไม่ได้ผลควรปรึกษาแพทย์


เอกสารอ้างอิง

1. รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง นงลักษณ์ สุขวาณิชย์ศิลป์.หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge-article-info-old.php?id=593

2. Minesh Khatri, MD. How Do I Treat Constipation?. Retrieved on 7 Nov 2024 from https://www.webmd.com/digestive-disorders/treat-constipation




อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

Website: https://exta.co.th/

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

Instagram: instagram.com/extaplus

YouTube: youtube.com/eXtaHealthBeauty


หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ยาสามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ